เมื่อวันที่ 1 ก.พ.ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พิจารณาญัตติการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลต่อเป็นวันที่ 3
ต่อมาเวลา 23.40 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ลุกขึ้นชี้แจงว่า ตนเกิดพ.ศ.2497 ส่วนผู้อภิปรายเกิดพ.ศ.2522 ถ้าจะพูดถึงเรื่องตั้งแต่พ.ศ.2557 ก็ควรต้องย้อนไปดูก่อนหน้านั้นด้วยว่า เกิดอะไรกับพลังงาน แม้เป็นรัฎฐาธิปัตย์ที่เข้ามา แต่ก็ไม่ได้เข้ามาหาประโยชน์ ถ้าคิดว่าจะแสวงหา คงไม่เข้ามา ถ้าคิดว่าเข้ามาแล้วคิดจะโกง ส่วนตัวไม่ชอบคนคดโกง ที่อภิปรายทำอย่างนั้น อย่างนี้ ให้หาหลักฐานมา ไม่ใช่คิดเอง มโนเอง
อ่านจากโน่นจากนี่ เรื่องพลังงาน 5,000 เมกกะวัตต์ เป็นเรื่องที่หนักใจตั้งแต่เข้ามา จะทำอย่างไร ไม่ให้เกิดปัญหา แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะรัฐบาลก่อนหน้านั้นลงนามเอาไว้ ได้ถามไปหน่วยงาน ก็บอกว่า ยกเลิกไม่ได้ ก็ได้ดำเนินตามแผนพลังงาน เพราะถ้าเขาทำถูกต้อง ไปโทษเขาไม่ได้ แต่ถ้าทำผิดก็มาโทษรัฐบาล คนที่ถูกพูดถึง จากวันนั้นจนวันนี้ พบกันไม่กี่ครั้ง การพบกันก็เป็นในงานทั่วไป
- ‘เบญจา’ แฉกลุ่มทุนยักษ์ใหญ่ ค้ำจุนอำนาจ ‘บิ๊กตู่’ แลกเปลี่ยนผลประโยชน์ ตอกลิ่มความเหลื่อมล้ำ
พล.อ.ประยุทธ์ อภิปรายว่า ตนไม่ได้เข้ามาเพื่อมาแสวงหาผลประโยชน์ ตนไม่เคยทำ ไม่เคยเรียกใครมาเจรจา ตอนเป็นรัฐบาล เรื่องพลังงาน ปวดหัวที่สุด จึงได้ตั้งกรรมการขึ้นมาตรวจสอบ แต่จะไว้ใจใคร ต้องไว้ใจคนของตน ถ้าตนตั้งคนเลวมาตรวจสอบ ก็จะยอมรับ แต่เขาไม่โกง ไม่ทุจริต เขาก็เป็นคนดี ซื่อสัตย์ต่อตน ต่อกองทัพมาตลอด เราต้องสร้างความเชื่อมั่นเรื่องพลังงาน เลยให้เป็นกรรมการ ที่ถามทำไมต้องเลิก เพราะสอบสวนหาสาเหตุแล้ว
อยากให้กลไกลปกติทำงานได้มากที่สุด และการที่ตนไปนั่งหัวโต๊ะ ก็ไม่ใช่หัวตอ หัวโต๊ะต้องฟัง ต้องมีสมอง ไม่ใช่ไม่ฟังอะไร ก็ได้ถามคณะกรรมการ เขาก็บอกมา สุดท้ายมติที่ประชุมว่าอย่างไร ถ้าเห็นชอบ ก็อนุมัติในหลักการ ไม่ได้อนุมัติให้บริษัทโน้นบริษัทนี้ ส่วนจะดำเนินการอย่างไร เป็นอำนาจหน้าที่ของกระทรวงพลังงาน อย่าเอาตนไปพัน
พล.อ.ประยุทธ์ อภิปรายว่า ขอคุยกับน้องๆให้เข้าใจ ตนเข้ามาเพราะความจำเป็น เกิดอะไรขึ้นในตอนนั้น คุณก็โตแล้ว อยากให้สถานการณ์เป็นแบบนั้นอีกหรือ เพราะในสภาฯ นอกสภาฯ ไปด้วยกัน อย่าพูดดูถูก เหยียดหยามคน จนมากเกินไป ที่พูดมาก็ไม่จริง มโนทั้งสิ้น ตนก็พูดแบบผู้ใหญ่ แบบมีเหตุ มีผล ท่านพูดกับตนเหมือนกับว่า ไม่มีความฉลาดเลย เราต้องพูดกันด้วยหลักการ เหตุผล ดูคุณวุฒิ ท่านว่าตนเรื่องไม่มีคุณวุฒิ ไม่เป็นอะไร และเรื่องวัยวุฒิ ควรจะมี
ไม่อยากให้สังคมเป็นแบบนี้ สอนให้เด็ก เรียกเขาเด็กเลว เราเคยมองเด็กด้วยความเมตตา ด้วยความรัก ไม่ใช่ลูกหลาน ก็ต้องรัก เด็กทุกคน ตนรักทุกคน แม้ไม่ใช่ลูกหลาน มองสายตาเขา สิ่งที่เขาทำวันนี้ มีผลต่อวันข้างหน้า นั่นคือสิ่งที่คนที่นี่หรือที่ไหน ต้องสำนึกอย่างนี้เสมอ ใครทำอะไร ก็จะได้สิ่งนั้นเสมอ ทำดีก็ได้ดี ทำไม่ดีก็ได้ไม่ดี ประเทศก็ไม่ดี
นายปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส.พิษณุโลก พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ใช้สิทธิพาดพิงว่า นายกฯ อาจจะไม่เข้าใจ คำว่า นักเรียนเลว ไม่ได้สภาฯ แห่งนี้เรียกเขา เป็นคำที่เขาเรียกตัวเอง เพื่อเคลื่อนไหว